เมื่อพูดถึงประสบการณ์ที่ได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ตอนนั้น(เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว) พี่นุ้ยเรียนจบปริญญาตรีจากคณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ ที่จุฬา แล้วก็ได้รับทุนเชลล์ไปเรียนปริญญาโทในสาขา International Boundaries คณะกฎหมายที่ University of Durham ตอนที่สมัครไปยังงงๆ ไม่เคยรู้จักมหาวิทยาลัยนี้มาก่อน แต่เห็นว่ารายละเอียดหลักสูตรน่าสนใจดี มีทุนด้วย ตอนไปขอ recommendation จากอาจารย์ที่ปรึกษายังบอกอาจารย์ว่า “หนูจะไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเดอแฮมค่ะ” อาจารย์บอกว่าไม่ใช่นะ ต้องอ่านว่า “เดอแร่ม” พอฟังๆไปถึงรู้ว่ามหาวิทยาลัยนี้มีชื่อเสียง มีคนดังๆหลายคนจบมาจากที่นี่
หลังจากสัมภาษณ์ก็รอไปหลายเดือน รอจนหมดความหวัง และแล้ววันหนึ่งก็ได้รับอีเมลล์จาก International Office ของ Durham ว่าเราได้ทุน พี่นุ้ยจึงได้ไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษโดยเดินทางไปกับคุณพ่อคุณแม่ก่อนวันเปิดเรียนสองอาทิตย์
พอไปถึงตกใจมากๆ สภาพแวดล้อมสวยดี เป็นเมืองโบราณ ชนบท แต่กันดาร ไม่เหมือนกรุงเทพฯ ห้องพักที่จองก็เป็นห้องเล็กๆ อินเตอร์เน็ตก็ไม่มี อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ก็ไม่มี จำได้ว่าตอนแรกที่มามีอินเตอร์เน็ตให้ใช้อยู่ที่เดียวคือห้องสมุดสาธารณะ หากไม่นับห้องสมุดของมหาวิทยาลัย
สรุปว่าไปถึงแล้วค่อนข้างอึ้ง ต้องอยู่กันสามคนในห้องที่แคบมากๆ แถมต้องใช้ห้องน้ำรวมชายหญิงอีกต่างหาก หลังจากที่คุณพ่อกลับเมืองไทย พี่นุ้ยกับแม่เลยเริ่มหาบ้านข้างนอก การใช้ชีวิตในหอพักที่นี่ค่อนข้างน่ากลัวเพราะมีคนข้างห้องเป็นแขกผู้ชาย บางครั้งเดินตามไปห้องน้ำ ห้องครัว มาเคาะประตูตอนกลางคืน ทำให้เราต้องรีบย้ายที่อยู่โดยด่วน
ในท้ายที่สุดก็ได้บ้านที่ห่างออกไปอยู่ในย่าน Bowburn เป็นบ้านจริงๆมี 2 ชั้น อยู่ในชุมชนที่มีแต่ฝรั่ง เมืองนี้มีคนไทยน้อยมากๆแทบจะนับคนได้ ชีวิตสงบ แต่บางครั้งจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราปวดหัวบ้าง เช่น คืนหนึ่งมีเสียงคนมาทุบกระจกข้างบ้าน เราในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีได้แต่แอบส่องดูผ่านม่าน แล้วก็เลยโทรแจ้งตำรวจ ความเลยปรากฏออกมาว่าเพื่อนบ้านเราติดหนี้คนแถวนี้ไปทั่ว เจ้าหนี้เลยมาพังบ้าน และเราก็ไม่ได้เจอเพื่อนบ้านคนนั้นอีกเลยนับจากวันนั้น
พี่นุ้ยอยู่ในเมืองเดือนแรมได้เก้าเดือน ก็ขออำลาอาจารย์กลับมาเมืองไทยเพื่อมาทำ dissertation และรับทุน ก.พ. ไปเรียนปริญญาโทอีกหนึ่งใบที่สหรัฐอเมริกา ตอนกลับก็มีเรื่องราวอีก คือ พี่นุ้ยกับแม่ซื้อของเยอะมาก เพราะว่าที่อังกฤษจะมี car booth sale เปิดท้ายขายของ เอาของเก่าๆ เช่นพวกแจกัน เครื่องเงิน มาขายในราคาถูกมากๆ อาจจะเป็นเพราะว่าคนที่นั่นมองไม่เห็นคุณค่าของเก่า ชาวเอเชียและแอฟริกันหลายคนจึงชอบไปเดินงานเปิดท้ายแล้วส่งของกลับไปขายที่ประเทศตัวเอง สรุปแล้วในกรณีนี้ น้ำหนักกระเป๋าเราเกินกว่าที่อนุญาตไปตั้ง 100 กก. เราก็คิดว่าน่าจะขอเจ้าหน้าที่ผ่อนผันได้ แต่หมดสิทธิ์เพราะที่นั่นเป็นประเทศอังกฤษไม่ใช่เมืองไทย สุดท้ายต้องฝากเพื่อนบ้านญี่ปุ่นที่ไปส่งให้ส่งของกลับมาให้
การเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษให้ความรู้และประสบการณ์ดีๆหลายอย่าง ทั้งที่เป็นวิชาการและการใช้ชีวิต ขอขอบคุณคุณแม่ที่ไปอยู่ด้วยที่นั่นเก้าเดือนเต็ม
ตอนนี้พี่นุ้ยจบปริญญาโทอีกใบจากอเมริกาในสาขา speech communication และเปิดสอนภาษาอังกฤษ Nui-English อยู่ในนนทบุรี โดยเน้นกลุ่มนักเรียนที่จะสอบชิงทุนด้วย พี่นุ้ยต้องขอขอบคุณบริษัทเชลล์และรัฐบาลอังกฤษที่ให้ทุนไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโท รวมถึง The British Council ที่จัดกิจกรรมให้แก่นักเรียนทั้งที่กำลังจะไปศึกษาต่อและศิษย์เก่า
ดีใจที่ครั้งหนึ่งเคยได้ไปศึกษาต่อและใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษค่ะ
สมิตา หมวดทอง
nuienglish@hotmail.com
คลิกที่นี่เพื่ออ่านเรื่องอื่นๆ